วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

บทความ อาหารเด็กอ่อน

อาหารเด็กอ่อน 9-12 เดือน(อาหารเสริมทารก)

อาหารเด็กอ่อนในวัย 9-12 เดือน สำหรับมื้อกลางวันก็ยังต้องเป็นข้าว แต่ไม่ต้องบดให้ละเอียดจนเหลว ให้เตรียมอาหารที่เคี้ยวง่าย นิ่ม ๆ ให้เด็ก ถ้าเป็นข้าวก็ไม่ต้องบดแล้ว ให้ต้มนิ่ม ๆ เป็นการฝึกให้เด็กเริ่มกินอาหารหยาบ อาหารเด็กอ่อนทีมีลักษณะเป็นอาหารหยาบ ต้องค่อย ๆ ปรับความหยาบของอาหารให้เหมาะสมกับความสามารถในการเคี้ยวของเด็ก ช่วงวัย 9-12 เดือนนี้สามารถเริ่มดัดแปลงอาหารเด็กอ่อนให้มีความหลากหลายได้ตามใจชอบเน้นที่ความหลากหลายของอาหารให้เด็กได้ลองกินอาหารหลาย ๆ อย่าง ใหม่ ๆ ตามด้วยผลไม้นิ่ม ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเละเหมือนอาหารในช่วงวัยก่อนหน้านี้ ควรระวังเรื่องการให้ผลไม้ที่มีเมล็ดเช่น องุ่น ต้องแกะเมล็ดออกให้หมดก่อนและต้องหั่นครึ่งหรือหั่นเป็น 4 ส่วนก็ได้

อาหารเด็กอ่อนวัย 9-12 เดือนในมื้อบ่าย ก็ให้เป็นของว่างเหมือนเดิม(วัย 7-8 เดือน)โดยให้พร้อมกับนมในมื้อบ่ายเช่น คุกกี้ที่มีขนาดชิ้นพอดีคำ เพื่อฝึกให้เด็กใช้กล้ามเนื้อนิ้วหยิบคุกกี้เข้าปาก ส่วนอาหารเด็กอ่อนในมื้อเย็นก็จัดเหมือนอาหารในมื้อกลางวัน โดยยึดหลักเหมือนเดิมคือ หาผักและเนื้อสัตว์ชนิดใหม่ ๆ ที่เด็กไม่เคยกินมาเพิ่มความหลากหลายให้กับอาหารเด็กอ่อนในมื้อเย็น

การเก็บรักษาอาหารเด็กอ่อน ในกรณีที่คุณพ่อและคุณแม่ไม่ค่อยมีเวลาในการปรุงอาหารเด็กอ่อนแบบปรุงสด ๆ ทุกมื้อ อาจทำอาหารเพียงครั้งเดียวในปริมาณที่มากหน่อยแล้วแบ่งตามปริมาณการใช้ในแต่ละครั้ง แล้วแช่แข็งเก็บไว้ในตู้เย็น พอจะใช้ก็นำอาหารที่แช่แข็งไว้ออกมาอุ่นได้ (ไม่ควรแช่แข็งอาหารนานเกิน 1 อาทิตย์)
การอุ่นอาหารเด็กอ่อนที่แช่แข็งไว้ ให้นำอาหารที่แช่แข็งไว้ออกมาก่อนเวลาที่จะใช้ประมาณ 30 นาที แช่ในน้ำร้อนหรือนึ่งก็ได้ แล้วค่อยอุ่นให้ได้อุณหภูมิที่พอดี ห้ามอุ่นอาหารเด็กอ่อนที่แช่แข็งด้วยเตาไมโครเวฟเพราะจะทำให้อาหารร้อนไม่ทั่วถึง อุณหภูมิของอาหารที่ไม่ร้อนเกินไปสามารถทดสอบได้โดยการลองเหยาะอาหารลงบนข้อมือด้านในที่มีผิวอ่อน

คำแนะนำอื่น ๆ เรื่องอาหารเด็กอ่อนคือ ให้ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนปรุงอาหารเด็กอ่อนเพราะความสะอาดเป็นเรื่องที่สำคัญมากต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ อาหารที่เด็กกินเหลือแล้วไม่ควรนำมากินในมื้อต่อไป สัดส่วนระหว่างเนื้อ-ผัก กับ ข้าว(แป้ง) ควรเป็น ครึ่งต่อครึ่ง (50 – 50 ) ถ้าให้โปรตีน(เนื้อสัตว์)แก่เด็กมากไปจะทำให้ระบบย่อยอาหารของเด็กต้องทำงานหนักเกินไป ให้เด็กดื่มน้ำเยอะๆ เพราะน้ำจะเป็นประโยชน์กับร่างกายอย่างที่คุณคาดไม่ถึง ถ้าซื้ออาหารเด็กอ่อนแบบสำเร็จรูปจากซุปเปอร์มาร์เก็ตให้เลือกที่มีส่วนผสมที่เป็นธรรมชาติมากที่สุดและมีสารสังเคราะห์ น้ำตาล หรือไขมันตกค้างให้น้อยที่สุด.
.

วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

การเลี้ยงลูกให้ปลอดภัย

ไม่ประมาท...พลั้งเผลอ ลดภัยเสี่ยงเด็กเล็กก่อนสาย!!

ไม่ประมาท...พลั้งเผลอ ลดภัยเสี่ยงเด็กเล็กก่อนสาย!!


ไม่ประมาท...พลั้งเผลอ ลดภัยเสี่ยงเด็กเล็กก่อนสาย!! (เดลินิวส์)
          ลูกคือ “โซ่ทองคล้องใจ” ของผู้เป็นพ่อแม่ เป็นสายใยรักที่เกิดขึ้นมา เพื่อเติมเต็มคำว่า “ครอบครัว” ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น...นับตั้งแต่วันที่ลูกน้อยลืมตาดูโลก ...ภารกิจหลักคงตกอยู่กับผู้ที่เป็นพ่อและแม่ บางครอบครัวโชคดีมีปู่ ย่า ตา ยาย ช่วยเลี้ยง บางครอบครัวต้องเลี้ยงดูกันเอง และที่ร้ายไปกว่านั้น พ่อ แม่ บางคนต้องรับหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน
          “ลูกใคร ใครก็รัก” แต่บางครั้งบางคราว ผสมกับความเป็นมือใหม่ของบางครอบครัว ทำให้เกิดอันตรายขึ้นกับลูกรักได้ เด็กหลายคนโชคยังดีที่ช่วยเหลือไว้ได้ทัน ในขณะที่เด็กอีกจำนวนไม่น้อย ต้องจบชีวิตลงเพราะความพลั้งเผลอ หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในเวลาเพียงไม่กี่เสี้ยววินาที!!

           ความปลอดภัย เป็นเรื่องที่ทุกบ้านที่มีเด็กอ่อน พึงให้ความสำคัญ ลักขณา สุมงคล หัวหน้าแผนกเนอร์สเซอรี่ โรงพยาบาล บี เอ็น เอช ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า อันตรายที่เกิดขึ้นกับทารก สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา และบางครั้ง เป็นสิ่งที่เราไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น พ่อ แม่ ผู้ที่ทำหน้าที่เลี้ยงทารก จึงต้องมีความรู้ในด้านต่างๆ เกี่ยวกับอันตรายใกล้ตัวที่คาดไม่ถึง เพื่อความปลอดภัยสูงสุดสำหรับลูกน้อย

          ทารกในช่วงแรกเกิด สิ่งที่ควรระวัง คือ เรื่องของทางเดินหายใจ
เพราะการเตรียมที่นอน ที่ไม่ถูกต้อง มีความนิ่มมากจนเกินไป รวมทั้งการจัดท่านอนให้ทารก ที่ไม่ถูกต้อง อาจทำให้หน้าของทารกกดลงกับบริเวณที่นอนที่เป็นฟูกนิ่มๆ ได้ ซึ่งจะทำให้เด็กหายใจไม่ออก ในต่างประเทศจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก
          ท่านอนของเด็กควรจะเป็นท่านอนหงาย หรือท่านอนตะแคง ในส่วนที่คุณพ่อ คุณแม่ ท่านใดต้องการให้ลูกหัวสวย สามารถจัดนอนคว่ำได้แต่จะต้องเป็นที่นอนที่แข็ง ลักษณะคล้ายฟูกของคนไทยในสมัยก่อน โดยให้น้องนอนคว่ำ แต่หันหน้าไปทางใดทางหนึ่ง และหมั่นเดินมาดูลูกบ่อยๆ อย่างน้อยชั่วโมงละครั้ง หรือทางที่ดีที่สุด ควรนอนด้วยกันกับลูก ควรที่จะให้ลูกอยู่ในสายตาตลอดเวลา เพราะต้องคำนึงเสมอว่า เด็กยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย

          ส่วนที่นอนของทารกไม่ควรเป็นเบาะหรือฟูกที่นุ่มจนเกินไป รอบข้างควรมีหมอนข้างหรือหมอนกั้นไว้ เพราะเด็กจะนอนดิ้นและขยับตัวบ่อย ถ้าต้องการให้ลูกนอนเตียงที่ด้านข้างทำเป็นลูกกรง ควรที่จะมีอุปกรณ์ป้องกันด้วยเช่นกัน อย่างเบาะ หรืออะไรที่นิ่มๆ มากั้นตลอดทั้ง 4 ด้าน เพราะเราไม่รู้ว่าเด็กจะกลิ้งไปทางใด ไม่ใช่มาดูอีกที ลูกหัวลอดจากลูกกรงมาอยู่ข้างนอกเสียแล้ว เคยมีกรณีที่เด็กนอนเตียงในลักษณะเช่นนี้ แต่ไม่มีอะไรกั้น คิดว่าลูกกรงที่กั้นก็เพียงพอแล้ว ปรากฏว่า เมื่อกลับมาดูลูกแทบเป็นลม เพราะหัวเด็กไปเกี่ยวกับลูกกรงเตียง แต่ตัวห้อยลงไปอยู่ด้านล่าง ทำให้เด็กขาดอากาศหายใจไปชั่วขณะหนึ่ง พ่อ แม่ ตกใจจึงรีบพามาโรงพยาบาล ตรงนี้จึงต้องระวังด้วย

          “แต่ถ้าให้เด็กนอนพื้น ควรจะเป็นเบาะและมีหมอนกั้นอาณาเขตเอาไว้รอบๆ ตัวน้อง ไม่ควรให้ลูกนอนในที่สูงเกินคืบหนึ่ง โดยที่ไม่มีอะไรปิดกั้นรอบข้าง ยิ่งถ้าเด็กเริ่มพลิกตัว เริ่มเคลื่อนไหวได้แล้ว ควรให้นอนพื้นจะเป็นการดีที่สุด และเป็นการป้องกันถ้าคุณแม่เผลอหลับไปกับลูก เพราะไม่รู้ว่าน้องจะทำอะไร เมื่อเขาตื่นขึ้นมาก่อน เมื่อลูกนอนพื้นสิ่งที่สำคัญ คือ เรื่องความสะอาด ต้องหมั่นทำความสะอาดบริเวณที่ลูกนอน เพราะอาจมีมดหรือแมลงมากัดลูกได้”

         
 ในส่วนของอาหาร สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความสะอาด การเตรียมอาหารให้ลูกทุกครั้งต้องล้างมือก่อน เพราะการล้างมือเป็นการป้องกันการติดเชื้อได้ดีวิธีหนึ่ง และควรจะแยกภาชนะไว้สำหรับลูกโดยเฉพาะ รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของเด็กด้วย เพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคืองและเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้ได้ เนื่องจากเด็ก ยังมีภูมิคุ้มกันต่ำ
          การป้อนอาหารนั้น ควรให้เด็กอยู่ในลักษณะที่หัวสูงกว่าตัวเสมอ ในท่ากึ่งนั่ง
เพราะการกลืนกินอาหารของเด็กยังทำได้ไม่ดี มีโอกาสที่จะสำลักได้ง่ายมาก การวางช้อนให้น้องอ้าปากแตะที่ปลายลิ้น จากนั้นค่อยๆ กระดกช้อนขึ้น ส่วนปริมาณในการป้อนแต่ละครั้ง จะต้องป้อนครั้งละน้อยๆ เพียงปลายช้อน เพราะเด็กเล็กการเริ่มทานอาหารใหม่ๆ สำหรับเขา แค่ช้อนโต๊ะเดียวก็เพียงพอแล้วในแต่ละมื้อ
          นอกจากนี้ในส่วนของผลไม้ที่มีเมล็ด หากอยากให้ลูกที่พอรับประทานได้ลองลิ้มรส ก็ควรแกะและป้อนคำเล็กๆ ไม่ควรให้ลูกรับประทานเพียงลำพัง เพราะอาจทำให้เมล็ดหลุดลื่นลงคอ หรือไปติดที่หลอดลมได้

          
“เสื้อผ้าเด็กในส่วนของตะเข็บก็มีความสำคัญเช่นกัน เด็กบางคนอาจจะโดนด้ายเย็บตามตะเข็บบาดเอาได้ หรือทำให้ผิวหนังระคายเคือง แม่บางคนไม่รู้จะทำอย่างไร ลูกร้องไห้ไม่หยุด ค้นดูตามเนื้อตัวลูก ถึงได้รู้ว่าด้ายที่เย็บบาดลูก ฉะนั้นเวลาจะซื้อเสื้อผ้า ให้ดูตะเข็บด้านในด้วยว่า เย็บเก็บเรียบร้อยดีหรือไม่”
           
การอาบน้ำ เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่เด็กอาจจะได้รับอันตรายได้ หลักการที่ทำให้เด็กปลอดภัย คือ จับเด็กให้มั่น เพราะคุณแม่มือใหม่จะรู้สึกตื่นเต้น ไม่กล้าจับลูกแรง กลัวลูกเจ็บ เพราะน้องตัวจะนิ่มไปหมด ยิ่งลูกโดนน้ำแล้วร้องยิ่งกังวล มือสั่นไปกันใหญ่ ทั้งที่จริงๆ แล้วเด็กเมื่อโดนน้ำ อาบน้ำแรกๆ จะร้องทุกราย

         
ฉะนั้น หลักการที่ถูกต้อง คือจับที่บริเวณไหล่ลูก ในลักษณะโอบไหล่ แล้วน้ำหนักของลูกถ่ายมาที่บริเวณข้อมือของแม่ หัวเด็กจะพิงมาที่ข้อศอกของแม่พอดี จับไหล่ลูกให้แน่น เพราะถ้าหลุดเด็กจะหลุดมือทันที
           สำหรับสิ่งแวดล้อม ถ้าเป็นไปได้ควรจัดพื้นที่ไว้สำหรับน้อง และที่มองข้ามไม่ได้เลย คือ เรื่องของสารเคมี บางครั้งแม่อาจหยิบผิดได้ เพราะขวดคล้ายกัน สีเหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน อย่างหยิบน้ำยาขัดพื้น คิดว่าเป็นน้ำยาซักผ้าน้อง ตรงนี้อาจทำให้เด็กได้รับอันตรายจากเคมีนั้นได้ จึงควรแยกที่เก็บให้ห่างจากกันและสังเกตได้อย่างชัดเจน

          รวมทั้งควรเก็บสารเคมีต่างๆ ออกจากพื้นที่ของลูก เพื่อกันตัวเองหยิบใช้ผิด อีกทั้งยังป้องกันไม่ให้เด็กคลานไปหยิบเล่น หรือเปิดออกมาดื่มกินได้ จึงควรเก็บไว้ในที่มิดชิดและเด็กเอื้อมไม่ถึงเปิดไม่ได้

          รวมไปถึงยาและเวชภัณฑ์ ควรจัดเก็บให้ห่างจากลูกให้มากที่สุด เพราะเด็กอาจจะหยิบมาใส่
ปากเล่น และอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

          นอกจากนั้น สิ่งแวดล้อมที่ลูกอยู่ ถ้ามีปลั๊กไฟ ให้หาอะไรมาปิดรูปลั๊กไฟ เพื่อกันไม่ให้ลูกเอามือไปแหย่เล่น ถ้าเขาอยู่ในวัยที่เริ่มคลานแล้ว ยิ่งต้องระวังให้มากขึ้น

         
ตลอดจนภาชนะและสิ่งของที่มีคม อย่างกรรไกร เข็ม ด้าย มีด หรือในส่วนของขอบโต๊ะ ขอบเตียง ซึ่งบางครั้งเราคิดไม่ถึง จึงจำเป็นต้องมีภาชนะห่อหุ้ม เมื่อลูกคลานไปโดนจะได้ไม่เกิดอันตรายได้

          วัยที่อันตราย คือ วัยที่เด็กเริ่มเรียนรู้ เริ่มเคลื่อนไหว หัดคลาน เริ่มเคลื่อนที่จากที่นอนอยู่เฉย ๆ คุณพ่อ คุณแม่ต้องไม่ให้ลูกห่างสายตาเป็นอันขาด ควรอยู่กับเด็กตลอดเวลา เพราะพฤติกรรมอยากรู้อยากเห็นและในช่วงขณะที่ พ่อแม่เผลอ จะเป็นช่วงที่อันตรายกับลูกมาก ซึ่งในแต่ละครอบครัวจะมากน้อยแตกต่างกัน

         
ฉะนั้นการป้องกัน จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะไม่ให้เหตุเกิด นั่นคือ อย่าปล่อยให้เด็กอยู่คนเดียว หรือบางช่วงเวลาที่ปล่อยให้เด็กอยู่คนเดียว สิ่งแวดล้อมตรงนั้นจะต้องปลอดภัยสำหรับเขา ไม่ว่าจะเป็นของที่เขาหยิบเข้าปาก หรือจะเป็นเรื่องไฟ รวมทั้งการตกจากที่สูง สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น เพราะเด็กเขาไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำจะเกิดอะไรตามมา” ลักขณา แฝงข้อคิดทิ้งท้าย
           มากกว่าความรัก คือ การเอาใจใส่ อย่าให้แก้วตาดวงใจต้องพบหรือเผชิญกับประสบการณ์อันเลวร้าย ทั้งๆ ที่คุณสามารถป้องกันให้กับเขาได้!!.



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
โดย  จุฑานันทน์ บุญทราหาญ

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

การเล่นเพื่อการเรียนรู้

เล่นเพื่อเรียนรู้

เล่นอย่างไรในวัยซน
การเล่นของเด็กมีทั้งเล่นคนเดียวและเล่นกับเพื่อนๆซึ่งเด็กทุกคนควรได้มีการเล่นทั้งสองแบบ
เล่นคนเดียว  ทำให้เด็กมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ตัวเองสนใจเต็มที่  หาของเล่นหรือเกมที่ทำให้ลูกเกิดการเรียนรู้ เช่น เกมการแข่งขันกีฬาที่ย่อขนาดลงมาเล่นบนโต๊ะ  เครื่องมืองานช่างหุ่นจำลองที่ถอดประกอบเปลี่ยนท่าทางได้  ตุ๊กตาเปลี่ยนเสื้อได้  อุปกรณ์ทดลองทางวิทยาศาสตร์  อุปกรณ์การทำงานศิลปะทั้งวาด  ปั้น  ประดิดประดอย ฯลฯ  ซึ่งคงต้องสังเกตความสนใจของลูกด้วย เพราะถ้าลูกไม่ชอบไม่สนใจแล้วลูกอาจจะไม่แตะของเล่นที่ซื้อมาเลยก็ได้
         เด็กบางคนเล่นคนเดียวไม่เป็นเพราะมีพ่อแม่หรือพี่เลี้ยงคอยเล่นด้วยตลอด  ซึ่งก็น่าห่วงว่าเมื่อโตขึ้นลูกจะไม่สามารถมีความสุขได้ด้วยตัวเอง  คอยพึ่งพิงคนอื่นหากอยู่คนเดียวก็จะรู้สึกเหงาตลอดเวลา  การฝึกให้ลูกเล่นคนเดียวบ้างจะทำให้ลูกเกิดความมั่นใจในตัวเอง
เล่นเป็นกลุ่ม  เป็นทีม  ทำให้เด็กเล่นได้สนุกยิ่งขึ้น และเรียนรู้ทักษะสังคมไปในตัวรู้จักวิธีสร้างสายสัมพันธ์กับคนอื่น  รู้จักทำตามกฎกติกา  รู้จักวางแผน  แก้ปัญหาเฉพาะหน้า  รู้จักปรับตัว  ยอมรับความคิดของผู้อื่น  รู้จักต่อรอง  รู้จักเสียสละ  รู้แพ้รู้ชนะ ฯลฯ
         แต่ก็ไม่จำเป็นที่เด็กๆจะเล่นกับกลุ่มเพื่อนเสมอไป  บางครั้งอาจเล่นกับเพื่อนสนิทสักคนสองคนก็ได้  ซึ่งเด็กจะได้เรียนรู้การรักษาสัมพันธภาพด้วย
         คุณอาจจะคิดว่าลูกได้เล่นกับเพื่อนๆที่โรงเรียนเพียงพอแล้วแต่ขอบอกว่าสมัยนี้เด็กๆแทบไม่มีเวลาเล่นที่โรงเรียนมากนักเพราะโรงเรียนส่วนใหญ่มุ่งเน้นให้เด็กเรียนรู้วิชาการ หรือมีกิจกรรมทางวิชาการมากขึ้นและพื้นที่โรงเรียนในปัจจุบันก็น้อยลงเพราะใช้สร้างอาคารเรียนรองรับกับจำนวนนักเรียนที่เพิ่มมากขึ้น หรือมีสนามก็ห้ามใช้ (เพราะกลัวหญ้าตายไม่สวยงาม) หรือสนามเทปูนเสียหมด  ไม่มีต้นไม้ให้ร่มเงา เป็นต้น  (เพราะฉะนั้นถ้าโรงเรียนไหนไม่มีพื้นที่ให้เด็กประถมได้เล่นได้กระโดดโลดเต้นตามธรรมชาติของวัยแล้วละก็  โรงเรียนนั้นไม่เหมาะกับลูกของคุณแน่ๆ)
         และเพื่อให้แน่ใจว่าลูกได้เล่นอย่างเพียงพอ  เมื่ออยู่บ้านในวันหยุดก็ควรจัดเวลาให้ลูกได้เล่นกับเพื่อนข้างบ้าน หรือพาไปเล่นในหมู่ญาติด้วย
         จะเห็นว่า ในเรื่องการเล่นที่ว่ามาทั้งหมดนี้จะไม่พูดถึงการเล่นวีดีโอเกมหรือเกมคอมพิวเตอร์เลย เพราะอยากรณรงค์คุณพ่อคุณแม่ให้ดึงลูกออกห่างจากจอ มาเล่นอะไรที่เป็นการเล่นเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการและการเรียนรู้อย่างรอบด้านจริงๆมากกว่าค่ะ
กฎของการเล่น
- ความปลอดภัย  เด็กๆกำลังอยู่ในวัยซนและรู้เท่าไม่ถึงการณ์  จึงต้องดูแลความปลอดภัยเป็นอันดับแรก  ทั้งสถานที่เล่น  อุปกรณ์การเล่น  และควรมีผู้ใหญ่ดูแลอยู่ห่างๆ
- เล่นเป็นเวลา  จัดเวลาเล่นให้เป็นเวล่ำเวลา  โดยลูกจะต้องมีเวลาสำหรับทำสิ่งอื่นๆด้วย ตั้งเป็นกฎเกณฑ์ เช่น ทำการบ้านให้เสร็จก่อน หรือเล่นถึงกี่โมงแล้วมาช่วยแม่ทำงานบ้าน  เป็นต้น
- เล่นแล้วเก็บ  ฝึกลูกให้รับผิดชอบเก็บข้าวของที่เล่นให้เป็นระเบียบ และรักษาของให้เล่นได้นาน
- ไม่ซื้อของเล่นพร่ำเพรื่อ  ทำให้ลูกไม่รู้จักคุณค่า  ถ้าลูกอยากได้ต้องมีวาระ  เช่น เป็นรางวัลสำหรับความพยายามต่างๆ หรือออกเงินกันคนละครึ่งกับพ่อแม่ เป็นต้น
เรียนรู้อะไรจากการเล่น
         การเล่นให้การเรียนรู้แก่เด็กๆมากมาย อาทิ การเล่นมอญซ่อนผ้า  หากมองเผินๆก็เน้นความสนุกสนาน  การช่างสังเกตสายตาจากเพื่อนๆ เทคนิคการล่อหลอกและวิ่งเร็วแล้ว  แต่ในเชิงปรัชญามีผู้ศึกษาว่า ปกติเด็กๆเวลามองของถ้าเห็นอยู่ข้างหน้าเท่านั้นถึงจะรู้ว่ามีของอยู่  ถ้าของนั้นเลยสายตาไปก็จะคิดว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่  มอญซ่อนผ้าจึงสอนเด็กว่า แม้เรามองไม่เห็น แต่มันมีอยู่ข้างหลังนะ  ทำให้เด็กได้รู้จักคำสอนว่า คิดหน้าคิดหลังได้ชัดเจน
         เด็กยังรู้จักความหมายเชิงสัญลักษณ์จากการเล่น เช่น  ก้อนหินแทนเงิน  ใบไม้หั่นฝอยเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว  เศากะลามาเป็นถ้วยชาม  เป็นต้น  ส่งผลให้เด็กเกิดการคิดอย่างเป็นระบบ  มีการเปรียบเทียบ  ประเมินค่า  นอกจากนี้การเล่นเลียนแบบครู  หมอ  แม่ค้า  ตำรวจ  ฯลฯ  ยังสะท้อนถึงความเข้าใจการสมมติ  การช่างสังเกตพฤติกรรมและบทบาทหน้าที่ของบุคคลในสังคมได้  และการเล่นจะเริ่มสื่อความหมายใกล้เคียงความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ  ไปสู่การรู้จักตัดสินใจ  แก้ปัญหาและมีความรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ตนเองในที่สุด
ของเล่นเสริมทักษะ
- การ์ดเกมสะกดคำ  การเล่น  crossword  และการเล่นที่เกี่ยวกับการพูด  อ่าน  เขียน  เล่านิทาน  มีภาพประกอบ  ช่วยเสริมทักษะทางภาษา
- ของเล่นรูปทรงเรขาคณิต  ลูกปัดนับจำนวน  ช่วยเสริมทักษะการคำนวน
- การร้อยลูกปัด  การต่อแท่งไม้  การต่อภาพจิ๊กซอว์  การหัดผูกเชือก ฯลฯ  ช่วยฝึกทักษะการใช้ประสาทสัมผัส  ด้วยของเล่นที่เด็กสามารถใช้มือหยิบจับสัมผัสประสานงานกับตา
- การประดิษฐ์ของเล่นจากเศษวัสดุ  ช่วยฝึกการใช้ความคิดสร้างสรรค์
- ฝึกประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์  กับเครื่องยนต์กลไกของรถบังคับ  กังหัน  เครื่องร่อน
- ฝึกการแบ่งหน้าที่  และรู้จักการแก้ปัญหา  กับเกมเศรษฐี

หมายเหตุ  :  ไม่จำเป็นต้องซื้อของเล่นราคาแพง  คุณพ่อคุณแม่อาจทำขึ้นเอง  หรือชวนลูกทำ  หรือลูกคิดประดิษฐ์เอง  จะเป็นของเล่นมีคุณค่า  ได้ทั้งความสัมพันธ์และการใช้ความคิดสร้างสรรค์ค่ะ