วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ทักษะทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
ทักษะทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
Number of View: 6090
เด็กปฐมวัยเป็นวัยที่มีความอยากรู้อยากเห็นต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นวัยที่มีการพัฒนาทางสติปัญญา สูงที่สุดของชีวิต ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นทักษะที่ส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยสามารถคิดหา เหตุผล แสวงหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาได้ตามวัยของเด็ก ควรจัดกิจกรรมให้เด็กได้ลงมือกระทำด้วยตนเองจากสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ อันเป็นกระบวนการขั้นพื้นฐานหรือทักษะเบื้องต้นที่ควรส่งเสริมให้เด็กปฐมวัย ได้รับการพัฒนา มี 7 ทักษะกระบวนการ คือ ทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการวัด ทักษะการสื่อความหมาย ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา และทักษะการคำนวณ มีรายละเอียดของแต่ละทักษะดังนี้
ทบวงมหาวิทยาลัย (2525:60) ได้กล่าวว่า ในการสังเกตต้องระวังอย่านำความคิดเห็นส่วนตัวไปปนกับความจริงที่ได้จากการ สังเกตเป็นอันขาด เพราะการลงความคิดเห็นของเราในสิ่งที่สังเกตอาจจะผิดก็ได้ ถ้าอยากรู้ว่าข้อมูลที่บันทึกนั้นเกิดจาการสังเกตหรือไม่ ต้องถามตัวเองว่า ข้อมูลที่ได้นี้ได้มาจากการใช้ประสาทสัมผัสส่วนไหนหรือเปล่า ถ้าคำตอบว่าใช่ แสดงว่าเป็นการสังเกตที่แท้จริง
นิวแมน (Neuman 1978: 26) ได้เสนอหลักสำคัญไปสู่การสังเกตสำหรับเด็กปฐมวัย ดังนี้
1. ความรู้ที่ได้จากการสังเกตต้องเกี่ยวข้องกับประสาทสัมผัสทั้งห้า
2. ควรใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการสังเกตอย่างละเอียดละออ
3. ต้องใช้ความสามารถของร่างกาย โดยเฉพาะประสาทสัมผัสทั้งห้าในการสังเกตอย่าง
ระมัดระวัง และจากประสบการณ์ที่ได้รับจะทำให้การสังเกตของเด็กพัฒนาขึ้น การสังเกตสามารถกลายเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ที่มีคุณค่า
สุชาติ โพธิวิทย์ (ม.ป.ป.:15) ได้กล่าวถึงการสังเกตที่สำคัญที่ควรฝึกให้แก่เด็ก มี 3 ทางคือ
1. การสังเกตรูปร่างลักษณะและคุณสมบัติทั่วไป คือ ความสามารถในการใช้ประสาท
สัมผัสทั้ง 5 อย่าง สังเกตสิ่งต่าง ๆ แล้วรายงานให้ผู้อื่นเข้าใจได้ถูกต้อง คือ การใช้ตาดูรูปร่าง ลักษณะ หูฟังเสียง ลิ้นชิมรส จมูกดมกลิ่น และการสัมผัสจับต้องดูว่าเรียบ ขรุขระ แข็ง นิ่ม ฯลฯ
2. การสังเกตควบคู่กับการวัดเพื่อทราบปริมาณ เช่น การใช้เทอร์โมมิเตอร์ ตาชั่ง ไม้บรรทัด กระบอกตวง ช้อน ลิตร ถัง ฯลฯ ใช้เครื่องมือเหล่านี้วัดสิ่งต่าง ๆ แล้วรายงานออกมาเป็นปริมาณ เป็นจำนวน
3. การสังเกตเพื่อรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง เช่น สังเกตการเจริญเติบโตของต้นพืช การเจริญ
เติบโตของสัตว์ การเปลี่ยนแปลงทางเคมี การเปลี่ยนแปลงขนาดของผลึก การกลายเป็นไอของน้ำ ฯลฯ
ตัวอย่างการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะการสังเกต
- การสังเกตโดยใช้ตา
ในการสังเกตโดยใชสายตานั้น หากเด็กได้รับการชี้แนะให้รู้จักสังเกตลักษณะของสิ่งต่าง ๆ สังเกตความเหมือน ความแตกต่าง รู้จักจำแนก และจัดประเภทก็จะช่วยให้เด็กมี นิสัยในการมองสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวอย่างละเอียดรอบคอบ โดยขั้นแรกให้ดูสิ่งที่เด็กพบ เห็นอยู่ทุกวัน เช่น ต้นไม้ ขณะที่พาเด็กไปเดินเล่นในบริเวณโรงเรียน ครูเก็บใบไม้ต่าง ๆ ที่หล่นอยู่บนพื้นมาให้เด็กดู (ไม่ควรเด็ดใบไม้จากต้น ถ้าเด็กอยากเด็ด ให้บอกเด็กว่า “เก็บ จากพื้นดีกวา ดอกไม้ใบไม้ที่อยู่กับต้นช่วยให้ต้นไม้ดูสวยงามและเจริญเติบโต ถ้าเราเด็ด ออกมาดูอีกเดี๋ยวเดียวก็จะเหี่ยว”) ให้เด็กสังเกตสีของใบไม้ต่าง ๆ เด็กจะเห็นว่า ใบไม้ ส่วนใหญ่มีสีเขียว แต่บางใบก็มีสีแตกต่างไป ส่วนรูปร่างลักษณะก็มีทั้งคล้ายกันและต่าง กัน เช่น ใบมะนาวไม่มีแฉก ใบตำลึงมีแฉก เป็นต้น นอกจากใบไม้แล้ว ควรให้เด็กสังเกตุ รูปทรงต่าง ๆ ของพืช เช่น เป็นลำต้นตรงสูงขึ้นไป เป็นเถาเลื้อยเกาะกับต้นอื่น ให้สังเกต ความแตกต่างของดอกไม้ และผลไม้ต่าง ๆ เช่น ดอกอัญชันมีสีม่วงเข้ม ส่วนดอกมะลิมีสี ขาว แล้วให้เด็กนำไปใช้ประโยชน่อะไรได้ เช่น เอาดอกอัญชันไปใช้ย้อมผ้าได้ ใบเตยนำ
ไปใช้ในการทำขนม ทำให้มีสีสวยและกลิ่มหอม เป็นต้น
นอกจากสังเกตใบไม้แล้ว ครูควรจัดหาเมล็ดพืชหลาย ๆ ชนิดมาให้เด็กเล่นเพื่อ สังเกตลักษณะรูปร่างขนาด สี และหัดแยกประเภท และจัดหมวดหมู่ โดยนำเมล็ดที่มีลักษณะคล้ายกันไว้ด้วยกัน รวมทั้งให้คิดว่าเป็นเมล็ดของพืชชนิดใดด้วย
อุปกรณ์ที่มีประโยชน์มากสำหรับการสังเกต คือ แว่นขยาย เด็ก ๆ มักตื่นเต้นที่ได้ เห็นสิ่งต่าง ๆ มีขนาดใหญ่ขึ้น และเห็นรายละเอียดอย่างชัดเจน เช่น ตัวมด ใบไม้ เส้นผม ผิวหนัง เสื้อผ้า ก้อนหิน เม็ดทราย เป็นต้น
- การ สังเกตโดยใช้หู
นอกจากความสามารถในการจำแนกเสียงจะมีประโยชน์ต่อการเตรียมความพร้อม ทางภาษาแล้วยังมีประโยชน์ในการศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งที่อยู่รอบตัว เด็กอีกด้วย เสียงที่เด็กคุ้นหูคือ เสียงสัตว์ต่าง ๆ ครูอาจใช้วิธีอัดเสียงนกในท้องถิ่น เสียงกบร้อง เสียง จักจั่น ฯลฯ แล้วเปิดเทปให้เด็กทายว่าเป็นเสียงสัตว์อะไรที่เด็กรู้จักสังเกตความแตกต่าง ของเสียงเหล่านี้จะช่วยให้ครูสามารถเชื่อมโยงไปสู่การสอนเกี่ยวกับลักษณะและ ความเป็น อยู่ของสัตว์ต่าง ๆ ได้ และช่วยให้เด็กมีความกระตือรือร้นที่จะสังเกตและศึกษาหาความรู้ เพิ่มเติมมากขึ้น
สำหรับการฟังเสียงสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว อาจใช้วิธีให้เด็กปิดตา แล้วเดาว่าเสียงที่ ครูทำนั้นเป็นเสียงอะไร เช่น เสียงเคาะไม้ เสียงช้อนคนแก้วน้ำ เสียงฉิ่ง เป็นต้น จากการ ฟังเสียงที่แตกต่างกันของวัตถุเหล่านี้ เด็กจะเรียนรู้ถึงความแตกต่างของวัตถุซึ่งมีผลทำให้ เกิดเสียงที่ต่างกันไป นอกจากนี้ อาจนำเครื่องดนตรี หรือเครื่องให้จังหวะที่ทำด้วยวัสดุ ต่าง ๆ มาแสดงให้เด็กเห็นว่ามีเสียงต่างกัน เช่น ลูกซัดที่ใส่ถั่วเขียวไว้ข้างใน ลูกซัดหวาย ร้อนด้วยฝาน้ำอัดลม กรับไม้ไผ่ ฯลฯ
- การสังเกตโดยใช้จมูก
กิจกรรมที่ใช้การดมกลิ่น ควรประกอบด้วยการให้ดมสิ่งที่มีกลิ่นต่าง ๆ กัน รวม ทั้งให้ดมสิ่งที่มีกลิ่นคล้าย ๆ กัน แต่มีความแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยเพื่อให้รู้จักจำแนกได้ ละเอียดขึ้น ในขั้นแรกให้นำของต่าง ๆ ที่จะให้เด็กดมใส่ขวดเอากระดาษปิดขวดรอบนอก เพื่อไม่ให้เห็นสิ่งของ ให้เด็กดมแล้วบอกว่าเป็นกลิ่นอะไร ตัวอย่างสิ่งที่อาจให้ดม ได้แก่ หัวหอม กระเทียม สบู่ กาแฟ ใบสะระแหน่ เปลือกส้ม ยาดม ฯลฯ ต่อมาหลังจากที่เด็ก สามารถจำแนกกลิ่นต่าง ๆ ได้แล้ว ควรให้ดมกลิ่นสิ่งที่มีกลิ่นคล้ายกัน แต่ก็มีความ
แตกต่างกันอยู่บ้าง เช่น สบู่ต่างชนิดกัน ดอกไม้ต่าง ๆ ใบไม้ต่าง ๆ ผลไม้ เช่น ส้ม กับมะนาว แล้วให้เด็กพูดบรรยายความรู้สึก เช่น ดอกไม้ดอกนี้หอมชื่นใจ ดอกนี้หอมแรงไป หน่อย ใบไม้นี้มีกลิ่นหอม ใบนี้กลิ่นคล้ายของเปรี้ยว เป็นต้น
- การสังเกตโดยใช้ลิ้น
การใช้ลิ้นชิมรสอาหารต่าง ๆ เป็นกิจกรรมที่เด็กสนุกสนานเพราะสอดคล้องกับ ธรรมชาติของเด็กที่ชอบชิม แทะ สิ่งต่าง ๆ แต่ต้องสอนให้เด็กเข้าใจว่าสิ่งใดเอาเข้าปากได้ และสิ่งใดไม่ควรแตะต้องเพราะมีพิษหรือเป็นอันตรายต่อร่างกาย เมื่อเด็กไปพบเห็นสิ่ง ต่าง ๆ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติจะได้ไม่เอาเข้าปาก การให้เด็กได้ชิมรสต่าง ๆ นี้ก็เพื่อให้รู้จัก ความแตกต่างของรส และรู้จักลักษณะของสิ่งที่นำมาใช้เป็นอาหารดียิ่งขึ้น ในการจัดกิจกรรมนั้น ให้เอาอาหารชิ้นเล็ก ๆ หลายอย่างใส่ถาดให้เด็กปิดตาแล้วครูส่งให้ชิม ให้เด็ก ตอบว่า กำลังชิมอะไร รสเป็นอย่างไร เช่น น้ำตาล เกลือ วุ้น มะยม มะนาว ฯลฯ หลังจาก นั้นให้เปรียบเทียบอาหารที่มีรสหล้ายกันว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เช่น มะยมกับ มะนาวแตกต่างกันอย่างไร
- การ สังเกตโดยใช้การสัมผัสทางผิวหนัง
การสัมผัสโดยใช้มือแตะหรือเอาสิ่งของต่าง ๆ มาสัมผัสผิวหนัง ช่วยให้เด็กได้ เรียนรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของวัตถุต่าง ๆ และเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ในระดับสูงขึ้นไป กิจกรรมอาจเริ่มโดยเอาวัตถุหลายอย่างใส่ถุง ให้เด็กปิดตาเอมมือหยิบสิ่งของขึ้นมา แล้ว ให้บอกว่าสิ่งที่คลำมีลักษณะอย่างไร เช่น นุ่ม แข็ง หยาบ เรียบ ขรุขระ เย็น อุ่น บาง หนา ฯลฯ ของที่นำมาใส่ในถุงควรเป็นสิ่งที่มีพื้นผิวแตกต่างกัน เช่น ผ้าเนื้อต่าง ๆ กระดาษ หยาบ ฟองน้ำ ไม้ ขนนก เหรียญ ฯลฯ นอกจากเด็กจะได้ฝึกใช้ภาษาที่เกี่ยวข้องกับวัตถุ เหล่านี้แล้วยังได้เรียนรู้ลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันของวัตถุแต่ละชนิดอีก ด้วย
เด็กปฐมวัยเป็นวัยที่มีความอยากรู้อยากเห็นต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นวัยที่มีการพัฒนาทางสติปัญญา สูงที่สุดของชีวิต ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นทักษะที่ส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยสามารถคิดหา เหตุผล แสวงหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาได้ตามวัยของเด็ก ควรจัดกิจกรรมให้เด็กได้ลงมือกระทำด้วยตนเองจากสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ อันเป็นกระบวนการขั้นพื้นฐานหรือทักษะเบื้องต้นที่ควรส่งเสริมให้เด็กปฐมวัย ได้รับการพัฒนา มี 7 ทักษะกระบวนการ คือ ทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการวัด ทักษะการสื่อความหมาย ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา และทักษะการคำนวณ มีรายละเอียดของแต่ละทักษะดังนี้
ทักษะการสังเกต
การสังเกต (Observation) หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวกาย เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรือเหตุการณ์ โดยมีจุดประสงค์ที่จะหาข้อมูลซึ่งเป็นรายละเอียดของสิ่งนั้น ๆ โดยไม่ใส่ความคิดเห็นของผู้สังเกตลงไปทบวงมหาวิทยาลัย (2525:60) ได้กล่าวว่า ในการสังเกตต้องระวังอย่านำความคิดเห็นส่วนตัวไปปนกับความจริงที่ได้จากการ สังเกตเป็นอันขาด เพราะการลงความคิดเห็นของเราในสิ่งที่สังเกตอาจจะผิดก็ได้ ถ้าอยากรู้ว่าข้อมูลที่บันทึกนั้นเกิดจาการสังเกตหรือไม่ ต้องถามตัวเองว่า ข้อมูลที่ได้นี้ได้มาจากการใช้ประสาทสัมผัสส่วนไหนหรือเปล่า ถ้าคำตอบว่าใช่ แสดงว่าเป็นการสังเกตที่แท้จริง
นิวแมน (Neuman 1978: 26) ได้เสนอหลักสำคัญไปสู่การสังเกตสำหรับเด็กปฐมวัย ดังนี้
1. ความรู้ที่ได้จากการสังเกตต้องเกี่ยวข้องกับประสาทสัมผัสทั้งห้า
2. ควรใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการสังเกตอย่างละเอียดละออ
3. ต้องใช้ความสามารถของร่างกาย โดยเฉพาะประสาทสัมผัสทั้งห้าในการสังเกตอย่าง
ระมัดระวัง และจากประสบการณ์ที่ได้รับจะทำให้การสังเกตของเด็กพัฒนาขึ้น การสังเกตสามารถกลายเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ที่มีคุณค่า
สุชาติ โพธิวิทย์ (ม.ป.ป.:15) ได้กล่าวถึงการสังเกตที่สำคัญที่ควรฝึกให้แก่เด็ก มี 3 ทางคือ
1. การสังเกตรูปร่างลักษณะและคุณสมบัติทั่วไป คือ ความสามารถในการใช้ประสาท
สัมผัสทั้ง 5 อย่าง สังเกตสิ่งต่าง ๆ แล้วรายงานให้ผู้อื่นเข้าใจได้ถูกต้อง คือ การใช้ตาดูรูปร่าง ลักษณะ หูฟังเสียง ลิ้นชิมรส จมูกดมกลิ่น และการสัมผัสจับต้องดูว่าเรียบ ขรุขระ แข็ง นิ่ม ฯลฯ
2. การสังเกตควบคู่กับการวัดเพื่อทราบปริมาณ เช่น การใช้เทอร์โมมิเตอร์ ตาชั่ง ไม้บรรทัด กระบอกตวง ช้อน ลิตร ถัง ฯลฯ ใช้เครื่องมือเหล่านี้วัดสิ่งต่าง ๆ แล้วรายงานออกมาเป็นปริมาณ เป็นจำนวน
3. การสังเกตเพื่อรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง เช่น สังเกตการเจริญเติบโตของต้นพืช การเจริญ
เติบโตของสัตว์ การเปลี่ยนแปลงทางเคมี การเปลี่ยนแปลงขนาดของผลึก การกลายเป็นไอของน้ำ ฯลฯ
ตัวอย่างการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะการสังเกต
- การสังเกตโดยใช้ตา
ในการสังเกตโดยใชสายตานั้น หากเด็กได้รับการชี้แนะให้รู้จักสังเกตลักษณะของสิ่งต่าง ๆ สังเกตความเหมือน ความแตกต่าง รู้จักจำแนก และจัดประเภทก็จะช่วยให้เด็กมี นิสัยในการมองสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวอย่างละเอียดรอบคอบ โดยขั้นแรกให้ดูสิ่งที่เด็กพบ เห็นอยู่ทุกวัน เช่น ต้นไม้ ขณะที่พาเด็กไปเดินเล่นในบริเวณโรงเรียน ครูเก็บใบไม้ต่าง ๆ ที่หล่นอยู่บนพื้นมาให้เด็กดู (ไม่ควรเด็ดใบไม้จากต้น ถ้าเด็กอยากเด็ด ให้บอกเด็กว่า “เก็บ จากพื้นดีกวา ดอกไม้ใบไม้ที่อยู่กับต้นช่วยให้ต้นไม้ดูสวยงามและเจริญเติบโต ถ้าเราเด็ด ออกมาดูอีกเดี๋ยวเดียวก็จะเหี่ยว”) ให้เด็กสังเกตสีของใบไม้ต่าง ๆ เด็กจะเห็นว่า ใบไม้ ส่วนใหญ่มีสีเขียว แต่บางใบก็มีสีแตกต่างไป ส่วนรูปร่างลักษณะก็มีทั้งคล้ายกันและต่าง กัน เช่น ใบมะนาวไม่มีแฉก ใบตำลึงมีแฉก เป็นต้น นอกจากใบไม้แล้ว ควรให้เด็กสังเกตุ รูปทรงต่าง ๆ ของพืช เช่น เป็นลำต้นตรงสูงขึ้นไป เป็นเถาเลื้อยเกาะกับต้นอื่น ให้สังเกต ความแตกต่างของดอกไม้ และผลไม้ต่าง ๆ เช่น ดอกอัญชันมีสีม่วงเข้ม ส่วนดอกมะลิมีสี ขาว แล้วให้เด็กนำไปใช้ประโยชน่อะไรได้ เช่น เอาดอกอัญชันไปใช้ย้อมผ้าได้ ใบเตยนำ
ไปใช้ในการทำขนม ทำให้มีสีสวยและกลิ่มหอม เป็นต้น
นอกจากสังเกตใบไม้แล้ว ครูควรจัดหาเมล็ดพืชหลาย ๆ ชนิดมาให้เด็กเล่นเพื่อ สังเกตลักษณะรูปร่างขนาด สี และหัดแยกประเภท และจัดหมวดหมู่ โดยนำเมล็ดที่มีลักษณะคล้ายกันไว้ด้วยกัน รวมทั้งให้คิดว่าเป็นเมล็ดของพืชชนิดใดด้วย
อุปกรณ์ที่มีประโยชน์มากสำหรับการสังเกต คือ แว่นขยาย เด็ก ๆ มักตื่นเต้นที่ได้ เห็นสิ่งต่าง ๆ มีขนาดใหญ่ขึ้น และเห็นรายละเอียดอย่างชัดเจน เช่น ตัวมด ใบไม้ เส้นผม ผิวหนัง เสื้อผ้า ก้อนหิน เม็ดทราย เป็นต้น
- การ สังเกตโดยใช้หู
นอกจากความสามารถในการจำแนกเสียงจะมีประโยชน์ต่อการเตรียมความพร้อม ทางภาษาแล้วยังมีประโยชน์ในการศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งที่อยู่รอบตัว เด็กอีกด้วย เสียงที่เด็กคุ้นหูคือ เสียงสัตว์ต่าง ๆ ครูอาจใช้วิธีอัดเสียงนกในท้องถิ่น เสียงกบร้อง เสียง จักจั่น ฯลฯ แล้วเปิดเทปให้เด็กทายว่าเป็นเสียงสัตว์อะไรที่เด็กรู้จักสังเกตความแตกต่าง ของเสียงเหล่านี้จะช่วยให้ครูสามารถเชื่อมโยงไปสู่การสอนเกี่ยวกับลักษณะและ ความเป็น อยู่ของสัตว์ต่าง ๆ ได้ และช่วยให้เด็กมีความกระตือรือร้นที่จะสังเกตและศึกษาหาความรู้ เพิ่มเติมมากขึ้น
สำหรับการฟังเสียงสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว อาจใช้วิธีให้เด็กปิดตา แล้วเดาว่าเสียงที่ ครูทำนั้นเป็นเสียงอะไร เช่น เสียงเคาะไม้ เสียงช้อนคนแก้วน้ำ เสียงฉิ่ง เป็นต้น จากการ ฟังเสียงที่แตกต่างกันของวัตถุเหล่านี้ เด็กจะเรียนรู้ถึงความแตกต่างของวัตถุซึ่งมีผลทำให้ เกิดเสียงที่ต่างกันไป นอกจากนี้ อาจนำเครื่องดนตรี หรือเครื่องให้จังหวะที่ทำด้วยวัสดุ ต่าง ๆ มาแสดงให้เด็กเห็นว่ามีเสียงต่างกัน เช่น ลูกซัดที่ใส่ถั่วเขียวไว้ข้างใน ลูกซัดหวาย ร้อนด้วยฝาน้ำอัดลม กรับไม้ไผ่ ฯลฯ
- การสังเกตโดยใช้จมูก
กิจกรรมที่ใช้การดมกลิ่น ควรประกอบด้วยการให้ดมสิ่งที่มีกลิ่นต่าง ๆ กัน รวม ทั้งให้ดมสิ่งที่มีกลิ่นคล้าย ๆ กัน แต่มีความแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยเพื่อให้รู้จักจำแนกได้ ละเอียดขึ้น ในขั้นแรกให้นำของต่าง ๆ ที่จะให้เด็กดมใส่ขวดเอากระดาษปิดขวดรอบนอก เพื่อไม่ให้เห็นสิ่งของ ให้เด็กดมแล้วบอกว่าเป็นกลิ่นอะไร ตัวอย่างสิ่งที่อาจให้ดม ได้แก่ หัวหอม กระเทียม สบู่ กาแฟ ใบสะระแหน่ เปลือกส้ม ยาดม ฯลฯ ต่อมาหลังจากที่เด็ก สามารถจำแนกกลิ่นต่าง ๆ ได้แล้ว ควรให้ดมกลิ่นสิ่งที่มีกลิ่นคล้ายกัน แต่ก็มีความ
แตกต่างกันอยู่บ้าง เช่น สบู่ต่างชนิดกัน ดอกไม้ต่าง ๆ ใบไม้ต่าง ๆ ผลไม้ เช่น ส้ม กับมะนาว แล้วให้เด็กพูดบรรยายความรู้สึก เช่น ดอกไม้ดอกนี้หอมชื่นใจ ดอกนี้หอมแรงไป หน่อย ใบไม้นี้มีกลิ่นหอม ใบนี้กลิ่นคล้ายของเปรี้ยว เป็นต้น
- การสังเกตโดยใช้ลิ้น
การใช้ลิ้นชิมรสอาหารต่าง ๆ เป็นกิจกรรมที่เด็กสนุกสนานเพราะสอดคล้องกับ ธรรมชาติของเด็กที่ชอบชิม แทะ สิ่งต่าง ๆ แต่ต้องสอนให้เด็กเข้าใจว่าสิ่งใดเอาเข้าปากได้ และสิ่งใดไม่ควรแตะต้องเพราะมีพิษหรือเป็นอันตรายต่อร่างกาย เมื่อเด็กไปพบเห็นสิ่ง ต่าง ๆ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติจะได้ไม่เอาเข้าปาก การให้เด็กได้ชิมรสต่าง ๆ นี้ก็เพื่อให้รู้จัก ความแตกต่างของรส และรู้จักลักษณะของสิ่งที่นำมาใช้เป็นอาหารดียิ่งขึ้น ในการจัดกิจกรรมนั้น ให้เอาอาหารชิ้นเล็ก ๆ หลายอย่างใส่ถาดให้เด็กปิดตาแล้วครูส่งให้ชิม ให้เด็ก ตอบว่า กำลังชิมอะไร รสเป็นอย่างไร เช่น น้ำตาล เกลือ วุ้น มะยม มะนาว ฯลฯ หลังจาก นั้นให้เปรียบเทียบอาหารที่มีรสหล้ายกันว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เช่น มะยมกับ มะนาวแตกต่างกันอย่างไร
- การ สังเกตโดยใช้การสัมผัสทางผิวหนัง
การสัมผัสโดยใช้มือแตะหรือเอาสิ่งของต่าง ๆ มาสัมผัสผิวหนัง ช่วยให้เด็กได้ เรียนรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของวัตถุต่าง ๆ และเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ในระดับสูงขึ้นไป กิจกรรมอาจเริ่มโดยเอาวัตถุหลายอย่างใส่ถุง ให้เด็กปิดตาเอมมือหยิบสิ่งของขึ้นมา แล้ว ให้บอกว่าสิ่งที่คลำมีลักษณะอย่างไร เช่น นุ่ม แข็ง หยาบ เรียบ ขรุขระ เย็น อุ่น บาง หนา ฯลฯ ของที่นำมาใส่ในถุงควรเป็นสิ่งที่มีพื้นผิวแตกต่างกัน เช่น ผ้าเนื้อต่าง ๆ กระดาษ หยาบ ฟองน้ำ ไม้ ขนนก เหรียญ ฯลฯ นอกจากเด็กจะได้ฝึกใช้ภาษาที่เกี่ยวข้องกับวัตถุ เหล่านี้แล้วยังได้เรียนรู้ลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันของวัตถุแต่ละชนิดอีก ด้วย
วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553
การดุแลสุขภาพช่องปากเด็กทารก
นมแม่ เป็นอาหารธรรมชาติที่วิเศษที่สุดสำหรับเด็กทารก เพราะว่ามีคุณค่าทางอาหาร ย่อยง่าย มีภูมิคุ้นกันโรค ไม่ต้องเตรียม สะอาด และ
สะดวก คุณแม่จึงควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อย ๆ 3-4 เดือน ตลอดจนทำให้เกิดฝาขาวในปากน้อยกว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมขวด แต่หาก
จำเป็นต้องเลี้ยงด้วยนมขวดควรปฏิบัติ ดังนี้
1. ให้ทารกดูดน้ำตามหลังการดูดนมขวดเพื่อชะล้างคราบนมที่ตกค้างในปาก การเกิดฝ้าขาวในปากจะลดลง
2. ไม่ปล่อยให้เด็กหลับคาขวดนม เพราะจะทำให้เกิดปัญหาฟันผุลุกลามอย่างรวดเร็ว เมื่อเด็กกินนมจนอิ่มแล้ว ควรให้เด็กเรอแล้วกล่อม
เด็กให้หลับแทนการดูดนมจากขวด
3. การป้องกันการกลืนที่ผิดปกติ ควรอุ้มเด็กให้ตั้งขึ้นในเวลาที่กินนมขวด คล้ายกับผู้ใหญ่นั่งกินข้าว แต่ว่าเอนกว่าเล็กน้อย โดยคุณแม่หรือ
ว่าพี่เลี้ยงช่วยถือขวดนม เด็กจะสามารถใช้กล้ามเนื้อในช่องในการกลืนได้อย่างถูกต้องมากกว่าการนอนดูดนม
4. เมื่อเด็กเริ่มนั่งได้แล้ว อายุประมาณ 4-5 เดือน ควรเริ่มการฝึกให้ดื่มนมจากถ้วยเพื่อเป็นการฝึกให้เด็กกินนมแต่ละมื้อ การดูแลความสะ
อาดช่องปากของทารก ควรเริ่มเมื่ออายุได้ประมาณ 4 เดือน เพื่อเป็นการทำให้เด็กปากสะอาด ไม่เกิดเชื้อรา ทำให้เด็กเคยชินกับการมี
สิ่งของเข้าปาก ซึ่งจะช่วยให้เด็กยอมรับการแปรงสีได้ง่าย เมื่อถึงเวลาที่ต้องแปรงฟันโดยการใช้ผ้านุ่มสะอาดพันปลายนิ้วชุบน้ำสะอาดเช็ด
เหงือกและฟันเช้า-เย็น และเริ่มแปรงฟันให้เด็กเมื่อมีฟันกรามน้ำนมขึ้น คือ ประมาณขวบครึ่ง โดยการใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่มแปรงฟัน
โดยยังไม่ต้องใช้ยาสีฟัน การแปรงจะช่วยกำจัดเศษอาหารที่ตกค้างตามร่องฟันได้ดีกว่าการใช้ผ้าเช็ดฟัน
สะดวก คุณแม่จึงควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อย ๆ 3-4 เดือน ตลอดจนทำให้เกิดฝาขาวในปากน้อยกว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมขวด แต่หาก
จำเป็นต้องเลี้ยงด้วยนมขวดควรปฏิบัติ ดังนี้
1. ให้ทารกดูดน้ำตามหลังการดูดนมขวดเพื่อชะล้างคราบนมที่ตกค้างในปาก การเกิดฝ้าขาวในปากจะลดลง
2. ไม่ปล่อยให้เด็กหลับคาขวดนม เพราะจะทำให้เกิดปัญหาฟันผุลุกลามอย่างรวดเร็ว เมื่อเด็กกินนมจนอิ่มแล้ว ควรให้เด็กเรอแล้วกล่อม
เด็กให้หลับแทนการดูดนมจากขวด
3. การป้องกันการกลืนที่ผิดปกติ ควรอุ้มเด็กให้ตั้งขึ้นในเวลาที่กินนมขวด คล้ายกับผู้ใหญ่นั่งกินข้าว แต่ว่าเอนกว่าเล็กน้อย โดยคุณแม่หรือ
ว่าพี่เลี้ยงช่วยถือขวดนม เด็กจะสามารถใช้กล้ามเนื้อในช่องในการกลืนได้อย่างถูกต้องมากกว่าการนอนดูดนม
4. เมื่อเด็กเริ่มนั่งได้แล้ว อายุประมาณ 4-5 เดือน ควรเริ่มการฝึกให้ดื่มนมจากถ้วยเพื่อเป็นการฝึกให้เด็กกินนมแต่ละมื้อ การดูแลความสะ
อาดช่องปากของทารก ควรเริ่มเมื่ออายุได้ประมาณ 4 เดือน เพื่อเป็นการทำให้เด็กปากสะอาด ไม่เกิดเชื้อรา ทำให้เด็กเคยชินกับการมี
สิ่งของเข้าปาก ซึ่งจะช่วยให้เด็กยอมรับการแปรงสีได้ง่าย เมื่อถึงเวลาที่ต้องแปรงฟันโดยการใช้ผ้านุ่มสะอาดพันปลายนิ้วชุบน้ำสะอาดเช็ด
เหงือกและฟันเช้า-เย็น และเริ่มแปรงฟันให้เด็กเมื่อมีฟันกรามน้ำนมขึ้น คือ ประมาณขวบครึ่ง โดยการใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่มแปรงฟัน
โดยยังไม่ต้องใช้ยาสีฟัน การแปรงจะช่วยกำจัดเศษอาหารที่ตกค้างตามร่องฟันได้ดีกว่าการใช้ผ้าเช็ดฟัน
วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553
เด็กซนคือเด็กฉลาด
เด็กซนคือเด็กฉลาด?
ประโยคคุ้นหูสำหรับคุณพ่อ คุณแม่ที่มีลูกเป็นเด็กซนก็คือ เด็กซนคือเด็กฉลาด...
ซึ่งก็เป็นประโยคปลอบใจดีๆ นี่เอง
เพราะสำหรับแม่แล้ว เด็กฉลาดก็คือเด็กฉลาด เด็กซนก็คือเด็กซน ไม่มีส่วนใด ๆ เกี่ยวข้องกันเลย
อย่างเอื้อนี่ซนขนาดที่ตอนนี้ฟันหน้าบิ่นไปเรียบร้อยแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องหัวโน หัวปูด
อ่ะ ๆ ๆ แต่สำหรับแฟนนานุแฟน ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเอื้อจะเสียโฉมนะ เพราะฟันน้ำนมนี่ซี่เล็กมาก บิ่นนิดหน่อย ไม่สังเกตดี ๆ ไม่เห็นแน่นอน
แต่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับแม่เลย เพราะแคลเซียมที่เคลือบฟันตรงที่บิ่นหลุดออกไปแล้ว เหลือแต่เนื้อฟัน ซึ่งจะทำให้ฟันพุได้ง่าย แม่คงต้องดูแลเรื่องฟันให้เอื้อมากเป็นพิเศษ
กลับมาประโยค สร้างขวัญกำลังใจของแม่อีกซักหน่อย
การที่ปลอบใจกันว่า เด็กซนคือเด็กฉลาดนั้นก็พอมีความจริงอยู่แค่ว่า เด็กซนอาจจะเป็นเด็กฉลาดก็ได้ แต่เด็กฉลาดอาจจะไม่ซนก็ได้เหมือนกัน
ส่วนเอื้อนั้นจะฉลาด หรือไม่ ทั้งพ่อ และแม่เห็นตรงกันว่าไม่ใช่ประเด็นเลย เพราะสิ่งที่ แม่คิดว่าสำคัญกว่าความฉลาด คือความมีปัญญาตางหาก
แล้วความฉลาดกับปัญญาต่างกันตรงไหน
ต่างกันตรงที่ คนฉลาดสามารถแก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์แบบเทพได้ (โค ตะ ระ ยาก) โดยใช้เวลานิดเดียว
ส่วนคนมีปัญญา จะเห็นว่าการที่เราจะแก้โจทย์แบบนี้ได้ก็ต้องอาศัยความเพียร (อิทธิบาท 4 นะลูกนะ)
นี่ล่ะเด็กซนของแม่...
ประโยคคุ้นหูสำหรับคุณพ่อ คุณแม่ที่มีลูกเป็นเด็กซนก็คือ เด็กซนคือเด็กฉลาด...
ซึ่งก็เป็นประโยคปลอบใจดีๆ นี่เอง
เพราะสำหรับแม่แล้ว เด็กฉลาดก็คือเด็กฉลาด เด็กซนก็คือเด็กซน ไม่มีส่วนใด ๆ เกี่ยวข้องกันเลย
อย่างเอื้อนี่ซนขนาดที่ตอนนี้ฟันหน้าบิ่นไปเรียบร้อยแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องหัวโน หัวปูด
อ่ะ ๆ ๆ แต่สำหรับแฟนนานุแฟน ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเอื้อจะเสียโฉมนะ เพราะฟันน้ำนมนี่ซี่เล็กมาก บิ่นนิดหน่อย ไม่สังเกตดี ๆ ไม่เห็นแน่นอน
แต่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับแม่เลย เพราะแคลเซียมที่เคลือบฟันตรงที่บิ่นหลุดออกไปแล้ว เหลือแต่เนื้อฟัน ซึ่งจะทำให้ฟันพุได้ง่าย แม่คงต้องดูแลเรื่องฟันให้เอื้อมากเป็นพิเศษ
กลับมาประโยค สร้างขวัญกำลังใจของแม่อีกซักหน่อย
การที่ปลอบใจกันว่า เด็กซนคือเด็กฉลาดนั้นก็พอมีความจริงอยู่แค่ว่า เด็กซนอาจจะเป็นเด็กฉลาดก็ได้ แต่เด็กฉลาดอาจจะไม่ซนก็ได้เหมือนกัน
ส่วนเอื้อนั้นจะฉลาด หรือไม่ ทั้งพ่อ และแม่เห็นตรงกันว่าไม่ใช่ประเด็นเลย เพราะสิ่งที่ แม่คิดว่าสำคัญกว่าความฉลาด คือความมีปัญญาตางหาก
แล้วความฉลาดกับปัญญาต่างกันตรงไหน
ต่างกันตรงที่ คนฉลาดสามารถแก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์แบบเทพได้ (โค ตะ ระ ยาก) โดยใช้เวลานิดเดียว
ส่วนคนมีปัญญา จะเห็นว่าการที่เราจะแก้โจทย์แบบนี้ได้ก็ต้องอาศัยความเพียร (อิทธิบาท 4 นะลูกนะ)
นี่ล่ะเด็กซนของแม่...
วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
การเล่นกับเพื่อน
มีความมั่นใจในตนเองค่ะ ที่สำคัญความสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนนี้จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดายด้วย
เล่นกับเพื่อน..ดี มีประโยชน์
+ ช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ เมื่อเด็กๆ เล่นด้วยกัน พวกเขาจะมีการแบ่งปัน ร่วมมือกัน และจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นร่วมกัน แม้บางครั้งอาจมีเรื่องไม่ลงรอยเกิดขึ้น แต่สุดท้ายเด็กๆ ก็จะเรียนรู้และหาวิธีจัดการกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เอง ผู้ใหญ่จึงไม่ควรรีบเข้าไปจัดการกับปัญหาแทนเด็ก
ยกเว้นกรณีที่มีการใช้กำลังตัดสินปัญหา คุณพ่อคุณแม่ต้องรีบเข้าไปแยกทันทีและอธิบายให้เข้าใจว่า การใช้กำลัง เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ไม่เป็นที่ยอมรับ และเพื่อนไม่ทำกับเพื่อนค่ะ
+ ฝึกเลียนแบบบทบาทคนรอบข้าง เด็กๆ ชอบเล่นบทบาทสมมติทั้งนั้นค่ะ โดยเขาจะเลียนแบบพฤติกรรม การแสดงออก สีหน้าท่าทาง การทำงาน จากที่เห็นในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก อธิบายให้ลูกรู้ว่าพฤติกรรมของคนรอบข้างที่ลูกได้เห็น แบบไหนทำได้ และแบบไหนที่ไม่ควรทำ
+ เสริมความมั่นใจไม่ว่าที่ไหนก็กล้าคิด กล้าพูด ขณะที่เด็กๆ เล่นกัน เขามีโอกาสที่จะเป็นผู้นำในการเล่น ร่วมกันปรึกษาหารือ แสดงความเห็น หรือแม้กระทั่งพูดโน้มน้าวเพื่อนๆ ให้คล้อยตาม ทั้งได้พัฒนาทักษะในการจัดการปัญหา
ดังนั้นการเล่นเป็นกลุ่ม หรือทำกิจกรรมกลุ่มนี้ จะทำให้เด็กๆ กล้าแสดงออก รู้จักเป็นผู้นำ ผู้ตาม เป็นตัวแทนกลุ่มได้
+ ค้นพบตัวเอง เด็กๆ จะทำแต่สิ่งที่ตนเองสนใจ พวกเขาอาจสร้างกองดิน วาดภาพ สำรวจโลกรอบตัว สร้างสรรค์ชิ้นงาน อ่านหนังสือ ฟังดนตรี เล่นกีฬา ฯลฯ การปล่อยให้เด็กๆ ได้คิดทำ คิดเล่นอะไรด้วยตัวเอง จะทำให้เขารู้ถึงความสามารถ และความสนใจเฉพาะของตัวเอง
ฉะนั้น อย่าบังคับให้ลูกทำในสิ่งที่คุณสนใจ แต่ปล่อยให้เขาได้หาโอกาสสำรวจตัวเองว่าจริงๆ แล้วเขาต้องการอะไร อยากทำอะไร แล้วสนับสนุนให้เขาทำตามนั้น
+ พัฒนาทักษะการสื่อสาร ขณะที่เด็กๆ เล่นด้วยกันจะมีการพูดคุยปฏิสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะทางภาษาให้แข็งแรงขึ้น อีกทั้งยังมีการคิดหาคำตอบด้วยตัวเอง รู้จักสอบถามเพื่อน หรือเด็กคนอื่น ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในกระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์อีกด้วย
..................................................
เตรียมพร้อมก่อนลุยเล่น
ก่อนให้ลูกเล่นกับเพื่อน คุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมการนิดหน่อย เพื่อป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นตามมา ดังนี้...
* สอนทักษะทางสังคมเบื้องต้น
การสอนทักษะทางสังคมให้กับลูกทำได้ง่ายๆ เพียงแค่...
- แสดงให้ลูกเห็นพฤติกรรมที่คุณแสดงออกทางสังคม ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เขาเกิดการพัฒนาตนเอง เช่น การฟัง การประนีประนอม การทำงานท่ามกลางความขัดแย้ง การเอาใจเขามาใส่ใจเรา เป็นต้น
- เล่นกับลูก ทำให้ลูกคุ้นเคยกับการเล่นแบบหมู่คณะ ขณะเล่นควรมีการแสดงความคิดเห็น และแบ่งปันสิ่งของให้แก่กัน
- สอนการทักทายขั้นพื้นฐาน เช่น สวัสดี ลาก่อน และการยิ้ม เป็นต้น
* เลือกของเล่นให้เหมาะสม
เลือกของเล่นและอุปกรณ์ในการเล่นที่เหมาะสมกับวัย ระลึกไว้เสมอว่า เด็กวัย 3-6 ปีนี้ บางคนยังไม่สามารถทำใจยอมรับเรื่องการแบ่งปันสิ่งของให้กับคนอื่นได้ จึงควรหาของเล่นที่ลูกสามารถเล่นคนเดียว และแบ่งกันเล่นกับเพื่อนได้ มาค่อยๆ ฝึกให้ลูกรู้จักการแบ่งปัน ซึ่งของเล่นที่เหมาะสมก็คือ...
- อุปกรณ์วาดภาพ ระบายสี
- หนังสือ ตัวต่อไม้ เลโก้
- ของเล่นที่เป็นเครื่องดนตรี
- ของเหลือใช้ที่สามารถนำมาเล่นบทบาทสมมติ เช่น เสื้อผ้า รองเท้า ชุดทำครัว ที่ไม่ใช้แล้ว
* สถานที่เล่นสะดวก สนุก
หากคุณชวนเพื่อนๆ ของลูก หรือเด็กคนอื่นมาเล่นที่บ้าน คุณสามารถเตรียมสภาพแวดล้อม เพื่อช่วยให้การเล่นของลูกและเพื่อนสนุกสนานยิ่งขึ้น ดังนี้ค่ะ
- พื้นที่ซึ่งมีขนาดใหญ่เพียงพอ ไม่แน่นหรืออึดอัดจนเกินไป
- อุปกรณ์การเล่นเพียบพร้อม เพียงพอที่เด็กๆ จะเลือกทำกิจกรรม และสร้างสรรค์กิจกรรมการเล่นด้วยตัวเอง
กิจกรรมสนุก ปลูกทักษะรอบด้าน
มีกิจกรรมสนุกๆ มาแนะนำค่ะ รับรองว่า...กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยเสริมทั้งพัฒนาการ และทักษะการเข้าสังคมให้กับลูกได้เป็นอย่างดี
* เครื่องดนตรีแสนสนุก
ส่งเสริมให้ลูกเล่นเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ ร่วมกัน แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นเครื่องดนตรีจ๋า ประเภทกีตาร์ กลอง ฉิ่ง หรอกค่ะ หาพวกกระป๋องใส่ถั่วเขียวทำเป็นเครื่องดนตรีเขย่า กระทะกลายสภาพมาเป็นกลองก็สนุกกันได้ ไม่ต้องวิ่งหาของจริงให้เหนื่อย แถมลูกยังรู้จักดัดแปลงอีกด้วย
* ศิลปะสุดหรรษา
ศิลปะเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้เด็กรู้จักการแบ่งปันได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ปล่อยให้เด็กๆ ได้วาด ระบายสิ่งต่างๆ บนกระดาษแผ่นใหญ่ พร้อมดินสอสีกล่องเดียว ที่พวกเขาจะต้องแบ่งกันใช้ คุณอาจเห็นว่าภาพแต่ละภาพที่พวกเขาวาดอาจแตกต่าง แต่สุดท้าย สิ่งที่จะได้เรียนรู้คือการเอื้ออาทร แบ่งปัน แถมยังได้เรื่องมิตรภาพจากการพูดคุยถึงสิ่งที่วาดกันอย่างสนุกสนานค่ะ
* ปาร์ตี้แฟนซีเสื้อผ้าพ่อแม่
กล่องใส่เสื้อผ้าหลากชุดที่เหลือใช้แล้วของคุณ สามารถนำมาทำเป็นกิจกรรมให้เด็กๆ สนุกได้ ลองหาลังใบใหญ่ มาใส่เสื้อผ้าชุดเก่า หมวก ถุงมือ ถุงเท้า ฯลฯ ให้เด็กๆ เล่นสิคะ รับรองคุณจะได้ยินเสียงหัวร่อต่อกระซิกจากเด็กๆ ที่ได้เอาเสื้อผ้าชุดเก่าของคุณแม่ หรือเชิ้ตตัวเก่าของคุณพ่อมาสวมใส่เล่น จนเพลินเชียล่ะ
* ตัวต่อพาเพลิน
ตัวต่อไม้ หรือของเล่นพลาสติก เป็นที่โปรดปรานของเด็กวัยคิดส์ทุกคนค่ะ ปล่อยให้พวกเขาได้ล้อมวงเล่น หยิบยื่นตัวต่อให้กัน ช่วยกันต่อก่อเป็นรูปร่างตามจินตนาการ จะช่วยฝึกให้เด็กๆ รู้จักการยอมรับความคิดคนอื่น และช่วยเหลือกันและกันได้ดีค่ะ
* กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
อะไรจะสนุกไปกว่าการเล่นฟุตบอล วิ่งไล่จับกับเพื่อนๆ อีกล่ะคะ การเล่นกีฬาจะทำให้เด็ก ๆ เรียนรู้จักการแพ้ ชนะ การให้อภัย ช่วยพัฒนาทักษะทางสังคม และลูกยังได้ออกกำลังกายด้วยค่ะ
ถึงแม้จะมีกิจกรรมต่างๆ มากมายเพื่อเสริมทักษะสังคมให้กับลูก แต่ต้องยอมรับว่า มนุษย์ไม่สามารถเป็นเพื่อน หรือเล่นกับทุกคนที่เพิ่งพบเจอค่ะ
เพราะฉะนั้น พยายามหลีกเลี่ยงการบังคับเมื่อลูกไม่พร้อม เพราะการเรียนรู้ทักษะทางสังคม การสร้างสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เกิดขึ้นได้ตลอดชีวิต อย่าคาดหวังมากเกินไป ควรใช้วิธีค่อยเป็นค่อยไป ทักษะเหล่านี้ก็จะค่อยๆ พัฒนาขึ้นค่ะ
เรารู้กันอยู่แล้วว่าเด็กๆ นั้นจะสามารถเรียนรู้ได้ดีผ่านการเล่น ยิ่งถ้าได้เล่นกับเพื่อนๆ ด้วยแล้ว จะช่วยพัฒนาทักษะได้มากมาย ทั้งสังคม อารมณ์ และจิตใจเลยล่ะค่ะ
เพื่อนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กทุกคน การได้เล่นกับเพื่อน จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ได้อย่างสนุกสนาน เด็กที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีเพื่อนเยอะแยะ
วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
กิจกรรมเสริมทักษะสำหรับเด็กปฐมวัย
10 เหตุผลที่เด็กต้องอ่านนิทาน
ในที่นี้ต้องขอย้ำว่าเฉพาะนิทานดีๆ เท่านั้น
หลังจากที่ได้พูดคุยกับคุณเรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป กรรมการผู้จัดการมูลนิธิเด็ก หรือที่รู้จักกันในนาม “พี่ปอง” ของเด็กๆด้อยโอกาสที่ได้ไปคลุกคลีตีโมง เพื่อนำนิทานเป็นสะพานเชื่อมไปสู่วิถีชีวิตและการเรียนรู้ของเด็ก ทุกวันนี้กลุ่มเด็กๆ ที่พี่ปองได้ไปสัมผัสและนำนิทานไปสู่เด็กๆ เหล่านั้น ได้รับแรงบันดาลใจ และได้ทำนิทานของตัวเองขึ้นมาบ้าง เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจและเป็นมุมสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กได้ดีทีเดียว เป็นเรื่องที่ออกมาจากจิตใจ และสิ่งที่ประสบพบเจอมาในชีวิต
ที่ผ่านมา..ผลพิสูจน์ชัดเจนว่าการอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่ดี แต่สถิติเรื่องการอ่านในบ้านเรายังน้อยอย่างน่าสลดหดหู่ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่ว่าวิถีชีวิตคนเรามักสวนทางกับความเป็นจริงเสมอ และ...คนเราก็มักสร้างความชอบธรรมทำให้ตัวเองเสมอมิใช่หรือ..!
อาหารฟาสต์ฟูดไม่ดี ..แต่อร่อยนี่นา
ออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดี ..แต่ไม่มีเวลานี่
หนังสือเป็นประตูแห่งขุมปัญญา ..แต่ขี้เกียจน่ะ ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ถูกถ่ายทอดไปสู่เด็กๆ อย่างแน่นอน ก็ผู้ใหญ่เป็นแบบอย่างเช่นนี้ แล้วไยเด็กจะไม่ทำตามล่ะ...
ออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดี ..แต่ไม่มีเวลานี่
หนังสือเป็นประตูแห่งขุมปัญญา ..แต่ขี้เกียจน่ะ ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ถูกถ่ายทอดไปสู่เด็กๆ อย่างแน่นอน ก็ผู้ใหญ่เป็นแบบอย่างเช่นนี้ แล้วไยเด็กจะไม่ทำตามล่ะ...
เด็กก็ถูกอบรมสั่งสอนมาโดยตลอดว่า “ให้เชื่อในสิ่งที่เห็นมากกว่าในสิ่งที่บอก” เรื่องการอ่านหนังสือเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการปลูกฝังและซึมซับจากสิ่งแวดล้อม หากผู้ใหญ่ละเลยสิ่งเหล่านี้แล้วปากก็ปาวๆ ว่าทำไมลูกไม่รักการอ่านหนอ หรือทำไมลูกไม่ชอบอ่านหนังสือก็คงเปล่าประโยชน์
นิทานเป็นสะพานเชื่อมไปสู่เด็ก เป็นประตูไปสู่โลกใบใหญ่ของเจ้าตัวเล็ก
เราลองมาดูเหตุผล 10 ประการที่พี่ปองบอกเราว่าผู้ใหญ่ควรอ่านนิทานให้เด็กฟังกันค่ะ
1. นิทานเป็นตัวบ่มเพาะศีลธรรมในชีวิต นทุกชาติทุกภาษา ชาวต่างชาติเองก็มีนิทานอีสปซึ่งมีมานานกว่า3 พันปีแล้ว คนไทยเองก็มีนิทานเก่าๆที่มีการสอนศีลธรรมเยอะมาก เราลองมาดูเหตุผล 10 ประการที่พี่ปองบอกเราว่าผู้ใหญ่ควรอ่านนิทานให้เด็กฟังกันค่ะ
2. นิทานทำให้เด็กรู้สึกว่าไม่ได้ถูกสอน อย่างเรื่องราชสีห์กับหนู เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากในเรื่องการใช้ชีวิตที่สมดุล เราชอบสอนเด็กว่าคนตัวใหญ่ต้องช่วยคนตัวเล็ก คนมีมากกว่าต้องช่วยคนมีน้อยกว่า แต่เรื่องนี้สอนว่าคนตัวเล็กก็ต้องเกื้อกูลคนตัวใหญ่ในเงื่อนไขที่เกื้อกูลได้ด้วย อันนี้คือความแยบยลของนิทาน โลกเราจะรอดเพราะความกตัญญู ถ้าวันหนึ่งวันใดความกตัญญูหายไป ชีวิตเราก็ไม่รอด โลกก็ไม่รอด
3. นิทานเป็นหลายๆสิ่งในชีวิต ไม่ใช่แค่ความฝัน ไม่ใช่แค่จินตนาการ แต่เป็นเนื้อเดียวกันกับชีวิต นิทานเป็นสะพานสำคัญมากและสวยงามมากที่ผู้ใหญ่ใช้เชื่อมไปถึงเด็ก ทำให้ผู้ใหญ่เข้าไปอยู่ในใจของเด็กๆ ได้อย่างแยบยล
4. นิทานหลายๆ เรื่องพูดเรื่องบุคลิกภาพว่าต้องเป็นคนแข็งแรง ต้องเป็นผู้นำในการพาชีวิตตนและผู้อื่นไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า เช่น เรื่องหมีปวดฟันบอกเราว่า ถ้ากินอาหารที่มีประโยชน์ก็จะมีสุขภาวะที่ดี หรืออย่างเรื่องช้างน้อยใจอารี สอนเด็กว่าถ้าเราเป็นเด็กเกเรเราก็จะไม่มีเพื่อน สุดท้ายแล้วนิทานทุกเรื่องสอนศีลธรรมและจริยธรรมทุกด้าน
5. นิทานหลายๆเรื่องพูดเรื่องวัฒนธรรมและการกินอยู่ เป็นการเปิดโลกการเรียนรู้ให้กับเด็กทำให้รู้ว่าที่ไหนมีบริบททางวัฒนธรรมอย่างไร
6. ตัวอย่างนิทานเรื่อง “กระต่ายตื่นตูม” สังคมไทยเป็นสังคมตื่นตูม ไม่ได้ไปดูที่จุดเกิดเหตุว่ามันเกิดจากอะไร แต่วิ่งไปก่อนตื่นตูมไปก่อน บาดเจ็บไปก่อนแล้วค่อยมาสอน มันอยู่ที่เราจะเอาแก่นของนิทานมาพูดคุยกับเด็กได้ไหม
7. นิทานสร้างความผูกพันในครอบครัว ถึงแม้ว่าการพูดคุยกันในชีวิตประจำวันจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเรามีเนื้อเรื่องสนุกสนานมีคำสวยๆมันจะจูงใจในการพูดคุยได้มากกว่า
8. สมมติว่าแม่คนหนึ่งมีนิทานอีสปอยู่ในใจ เขาจะสอนลูกได้ทุกเรื่องว่าจะใช้ชีวิตยังไง จะทำตัวยังไงให้มีวินัยก็เล่านิทานไปได้เรื่อยๆ ไม่ต้องมานั่งสอนทีละขั้นเป็น 1, 2, 3, 4 ...
9. เวลาเล่านิทานลูกจะคลุกคลีกับพ่อแม่ เวลาก่อนนอนจะเป็นช่วงมหัศจรรย์มากที่พ่อแม่สอนทุกอย่างให้ลูกได้ เพราะเป็นเวลาสบายๆ พ่อแม่ได้พูดคุยกับลูก เล่าเรื่อง จับมือลูก กอดลูกขณะเล่านิทาน ลูกรับรู้ได้เลยว่าความรักที่พ่อแม่มีให้เป็นยังไง หรือว่าระหว่างให้นมลูกแม่เล่านิทานที่เป็นคำคล้องจอง ลูกก็จะได้ฟังเสียงแม่ที่อ่อนโยน ได้ฟังคำเพราะๆ เป็นวิธีสร้างความสัมพันธ์ที่ดีมากๆ
10. การเล่านิทานเป็นการลงทุนในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว ลงทุนน้อยแต่ใช้ปัญญาเยอะ ถ้าพ่อแม่มาลงทุนด้วยเวลาที่จะให้กับลูกเพื่อเล่านิทาน คิดว่าสิ่งที่จะได้มันมากมายมหัศจรรย์จริง ๆ
อ่านถึงบรรทัดนี้แล้ว คุณมีเหตุผลของคุณที่จะเล่านิทานให้ลูกฟังหรือยังคะ
วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
พฤติกรรมเด็กวัยซน
9 พฤติกรรมเด่นของวัยซน |
เขียนโดย มนต์ชยา | |
จากการรวบรวมสารพัดปัญหาของวัยซนที่คุณพ่อคุณแม่หลายคนมักเป็นกังวล เนื่องจากไม่รู้ว่าเป็นอาการผิดปกติหรือไม่ และไม่ทราบว่าจะแก้ไขอาการเหล่านี้อย่างไร ฉบับนี้มีวิธีป้องกันและแก้ไขมาฝากค่ะ 1. อมข้าว…อีกแล้วลูกแม่ สาเหตุ ไม่หิว ต่อต้านวิธีที่ใช้การบีบบังคับ ฝึกไม่ถูกวิธี เช่น ดูทีวีไปป้อนข้าวไป เรียกร้องความสนใจหรือรางวัลจากพ่อแม่ วิธีการป้องกันและแก้ไข ไม่ควรดื่มนมหรือขนมระหว่างมื้อ ให้เจ้าตัวเล็กป้อนข้าวด้วยตัวเอง ไม่ติดสินบนด้วยรางวัล จัดบรรยากาศที่โต๊ะกินข้าวให้ดี และเป็นที่เป็นทาง พาเจ้าตัวเล็กออกกำลังกายบ่อยๆ เสมอต้นเสมอปลายในการฝึก 2. ทำไมลูกกลัวคนแปลกหน้า สาเหตุ เป็นสัญชาตญาณประจำตัว ถ้าไม่มีเลยก็ทำให้ไว้ใจคนมากเกินไป มีการขู่หรือใช้เสียงดัง ให้กลัวหรือตกใจบ่อยๆ ไม่มั่นใจในพ่อแม่ เป็นเด็กขี้วิตกกังวลสูง วิธีแก้ไข ตอบสนองความต้องการของเจ้าตัวน้อยอย่างสม่ำเสมอ ด้วยท่าทีที่อบอุ่น และคาดเดาได้ เพื่อสร้างความมั่นใจในตนเอง ฝึกให้เจ้าตัวเล็กทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง เช่น กินข้าว อาบน้ำ 3. ทำไงดี ลูกไม่นอนกลางคืน สาเหตุ เจ้าตัวเล็กรอคุณกลับบ้านและรอนอนพร้อมคุณ เคยปลุกมาเล่นกลางคืนเมื่อยังแบเบาะ เคยมีประสบการณ์ถูกทอดทิ้ง วิธีแก้ไข ไม่ควรให้นอนช่วงบ่ายนานเกินไป ให้เข้านอนตรงเวลาสม่ำเสมอ อาจเล่านิทานให้ฟังเป็นสัญญาณว่าถึงเวลานอนแล้ว ให้ออกกำลังกายมากๆ ช่วงกลางวัน สร้างความมั่นใจให้กับเจ้าตัวเล็กว่าจะไม่ทอดทิ้ง เลิกเล่นกับเจ้าตัวเล็กกลางดึก เปลี่ยนเป็นเล่านิทานแทน 4. ลูกพูดช้าเพราะอะไร ? สาเหตุ ขาดคนเล่นด้วย ถูกขังไว้กับของเล่น เพราะผู้ใหญ่ไม่มีเวลา พ่อแม่ทำให้เจ้าตัวเล็กทุกอย่าง จึงไม่จำเป็นต้องพูดออกมา วิธีแก้ปัญหา ให้เจ้าตัวเล็กอยู่ท่ามกลางคนที่พูด และเล่นกับเขา เปิดโอกาสให้เจ้าตัวเล็กพูดถึงความต้องการของตัวเองก่อน ซึ่งต้องอาศัยความใจเย็นในการรับฟัง 5. ติดขวดนม…แก้อย่างไร ? สาเหตุ พ่อแม่มักใจอ่อนเมื่อเจ้าตัวเล็กร้องขอเพียงแต่ร้อง ขวดนมก็มาหาแล้ว พ่อแม่มักกลัวว่าแคลเซียมจากอาหารไม่พอ วิธีแก้ไข เลิกนมมื้อที่ขัดขวางพัฒนาการของเจ้าตัวเล็กก่อน เช่น นมมื้อดึก เนื่องจากขัดขวางฮอร์โมนที่เพิ่มความสูง (growth hormone) และขัดขวางการหลับต่อเนื่องของเขา ลดปริมาณนมในขวดลงเรื่อยๆ ภายใน 2-3 สัปดาห์ โดยเปลี่ยนมาใส่แก้วหรือดูดหลอดแทน หากกังวลว่าจะไม่ได้สารอาหารเพียงพอ ใจแข็ง ตัดสินใจวันใดวันหนึ่งให้เลิกทันที เจ้าตัวเล็กจะโวยวาย 1-2 สัปดาห์ แต่เขาจะค่อยๆ ปรับตัวยอมรับ จะเห็นว่าสาเเหตุของพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ส่วนหนึ่งมาจากการปล่อยหรือตามใจจนทำให้เจ้าตัวเล็กเข้าใจว่าทำได้ จนติดเป็นนิสัย ดังนั้นการปรับเปลี่ยนมาให้เจ้าตัวเล็กทำในสิ่งที่ถูกต้อง ความใจเย็นและสม่ำเสมอจำเป็นที่สุดค่ะ 6. ลูกแม่ขี้แย…สุดๆ สาเหตุ ขาดความรักความสนใจจากผู้ใหญ่ จนไม่มั่นใจต่อสิ่งรอบตัว ไม่ได้ถูกฝึกให้ช่วยเหลือตัวเอง จึงขาดทักษะในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า วิธีแก้ไข ฝึกให้ช่วยเหลือตัวเอง และช่วยงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ เช่น ใส่เสื้อผ้าเอง ป้อนข้าวเอง ช่วยรดน้ำต้นไม้ พูดคุย ดูแลเจ้าตัวเล็กจากการถูกยั่วแหย่ 7. ขับถ่าย…เลอะเทอะไปหมด สาเหตุ ไม่เข้าใจวิธีการ ใจร้อน รวบรัด ไม่เข้าใจพัฒนาการของเจ้าตัวเล็ก ช่วงที่ควรฝึกคืออายุ 1 ปีขึ้นไป แต่เป็นช่วงที่เป็นตัวของตัวเองมากที่สุดถ้าไปบีบบังคับ จะยิ่งทำให้เกิดปัญหา ไม่ชินกับการถอดกางเกง วิธีแก้ไข การฝึกต้องมีความละเอียดอ่อน เพราะเกี่ยวข้องกับความรู้สึกของเจ้าตัวเล็ก ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาการ และเกี่ยวข้องกับเทคนิคของผู้ฝึก ซึ่งต้องทำเป็นขั้นตอน จึงต้องใจเย็น ไม่เร่งรัด แต่ต้องมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกันด้วยการให้กำลังใจ และคอยปรับปรุงแบบการฝึกเพื่อให้เข้ากับเจ้าตัวเล็ก สม่ำเสมอในการฝึก เพราะระยะการฝึกค่อนข้างยาว 8. ทำไมลูกชอบดูดนิ้ว สาเหตุ เป็นพฤติกรรมของธรรมชาติในขวบปีแรก พอเข้าขวบปีที่ 2 ยังถูกปล่อยให้ยึดติดกับพฤติกรรมนี้ โดยไม่มีการเบี่ยงเบนความสนใจ จนอาจติดเป็นนิสัย ความเครียด ความวิตกกังวล เช่นกลัวถูกพลัดพลาด พบเหตุการณ์ที่ตื่นเต้น ฯลฯ วิธีแก้ไข เบี่ยงเบนความสนใจ โดยหมั่นดึงนิ้วออกจากปากเจ้าตัวเล็กทุกครั้งอย่างนุ่มนวล แล้วให้ถือของเล่นแทนเพื่อให้ลืมการดูดนิ้ว ปรับเปลี่ยนลักษณะอาหารให้ต้องเคี้ยวมากขึ้น จนไม่อยากใช้กล้ามเนื้อปากทำอะไรอีก แม้แต่ดูดนิ้ว ออกกำลังกาย เพื่อให้เวลาการดูดนิ้วขณะหลับสั้นลง 9. โอะโอ๋! ร้องดิ้น อาละวาด สาเหตุ เรียกร้องความสนใจ หรือเอาแต่ใจตัวเอง โดยเจ้าตัวเล็กรู้ว่าวิธีนี้ผู้ใหญ่จะยอมตาม ถูกยุแหย่ให้โกรธสุดขีด ขาดคนเข้าใจ วิธีแก้ไข ขณะเจ้าตัวเล็กอาละวาด ไม่ควรสนใจหรือห้ามปราม เพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้ใหญ่ไม่ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมนี้ ถ้าทำร้ายผู้อื่นหรือทำลายข้าวของ ให้จับแขนเขาไว้ แล้วกอดไม่ควรจับแรงหรือจับตัวเพื่อเป็นการลงโทษ แต่เพื่อควบคุมไม่ให้ทำร้ายคนอื่น แล้วพูดเหตุผลด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยง ลดการตามใจ หรือลดการยั่วให้โกรธ [ ที่มา..นิตยสารบันทึกคุณแม่ No.165 April 2007] |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)